ไดร์วูล์ฟไม่แม้แต่จะผละออกห่างไปถอดเสื้อผ้าด้วยซ้ำ
เขาคงรู้ดีว่าถ้าคลาดสายตาจากผมเพียงวินาทีเดียว ก็มีสิทธิ์ที่ผมจะดิ้นหลุดไปได้
แต่ถึงกระนั้น...อีกฝ่ายก็ยังเก่งพอที่จะปลดกางเกงลง เพื่อทำอะไร ๆ
กับผมได้สะดวกขึ้น
“ไม่ ไดร์วูล์ฟ...เราไม่เอาครับ!”
ผมส่ายหน้า เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาจริง ๆ
เมื่อแววตาที่ใช้มองผมแลดูแปลกไป
ราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้...ทุกอย่างถูกขับเคลื่อนด้วยโทสะและสัญชาตญาณล้วน
ๆ
ร่างสูงพลิกตัวผมให้นอนคว่ำ
ตรึงสองแขนบางให้ไพล่หลังด้วยมือเพียงข้างเดียว
มืออีกข้างเค้นคลึงยอดอกสีชมพูระเรื่อจนเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะที่ริมฝีปากสีซีดลากผ่านลาดไหล่นวลเนียนและขบกัดตีตราไม่ละห่าง
ความเสียวแปลบที่แล่นวาบทั่วสรรพางค์กายไม่สามารถกลบความหวาดกลัวได้มิด
ผมพยายามข่มกลั้นอารมณ์ เม้มปากไม่ส่งเสียงครางให้คนด้านหลังได้ยินโดยง่าย
มือหนาเริ่มบีบคางพลางสอดนิ้วเข้ามากวาดต้อนน้ำลายภายในโพรงปาก...ยังไม่ทันให้ผมได้ขบกัดอย่างที่ใจนึก
นิ้วเรียวยาวก็ผละออกห่าง ก่อนจะสอดแทรกเข้ามาในช่องทางด้านหลังอย่างไร้ปรานี เสี้ยววินาทีนั้นผมถึงกับสะดุ้งเฮือก
“อ๊ะ! มะ ไม่...”
ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านเมื่อปลายนิ้วเย็นเฉียบกดผ่านจุดนูนในร่างกายโดยบังเอิญ
เพียงเท่านั้น...คนด้านหลังก็บดขยี้ลงมาเสียจนผมหวีดร้องลั่น
เหงื่อเริ่มผุดซึมตามไรผม
พร้อมกับดวงตาที่ลอยคว้าง...ร่างทั้งร่างสั่นกระตุกแรงขึ้นเมื่อใกล้ไปถึงจุดมุ่งหมาย
ทว่าคนใจร้ายกลับผละนิ้วมือออกอย่างรวดเร็วและแทนที่ด้วยบางสิ่งซึ่งใหญ่กว่า...ทำเอาผมหนาวยะเยือกขึ้นมาในอก
ขณะที่สิ่งอุ่นร้อนนั้นบดเบียดพยายามสอดแทรกเข้ามา
ความเจ็บแปลบก็เริ่มแล่นขึ้นตามแนวสันหลัง
คล้ายร่างทั้งร่างถูกผลักลงเหว...ด้วยฝีมือของคนที่ผมรักสุดหัวใจ
ผมไม่ร้องขออะไรต่อแล้ว
ทำเพียงจดจำความเจ็บปวดไว้เงียบ ๆ พลางหันซุกใบหน้าลงกับหมอนเพื่อหลบซ่อนหยดน้ำตาที่เริ่มหลั่งริน
ไดร์วูล์ฟจะรู้ตัวหรือเปล่า...ว่าวันนี้เขาใจร้ายกับผมมากแค่ไหน
“เงียบทำไม...ไม่ปฏิเสธที่จะเป็นเมียกูต่อแล้ว?”
สุ้มเสียงทุ้มห้วนเอื้อนเอ่ยอย่างเย็นชา
พร้อมลมหายใจอุ่นร้อนซึ่งรินรดหลังคอแผ่วเบา ทว่ากลับร้อนลวกในความรู้สึก
เมื่อเห็นผมไม่ตอบโต้เสียที
มือหนาก็สอดเข้ามากอบกุมใบหน้าข้างใต้หมอน
ปลายนิ้วเรียวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นตรงข้างแก้มนุ่ม ก่อนไดร์วูล์ฟจะถอนส่วนกลางกายซึ่งสอดใส่เข้าไปเพียงเล็กน้อยออกกะทันหัน
“หันมา...”
“....”
“แสนซ่าส์”
นาน ๆ ทีไดร์วูล์ฟจะเรียกชื่อผม
คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินเขาเรียกในตอนที่เพิ่งทำกันแตกสลายแบบนี้
ผมสัมผัสได้ว่าคนด้านหลังผละออกห่าง
เหลือทิ้งไว้เพียงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ตกกระทบร่าง
สุดท้ายก็เท่านี้...ผมยังจะหวังอะไรจากคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้อีก
คนอย่างไดร์วูล์ฟ
คงหนีไปสงบสติอารมณ์และทิ้งผมไว้ที่เดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะขยับร่างตอนนี้ ขอเวลาอีกแค่นาทีเดียว...ในการข่มกลั้นความเสียใจที่อัดแน่นเต็มอกได้หรือเปล่า
ทว่าคล้ายโชคชะตาไม่เป็นใจ
เสี้ยววินาทีต่อมา ผ้าห่มอุ่น ๆ ก็ครอบคลุมไปทั่วร่าง แผ่นหลังของผมถูกทาบทับด้วยร่างสูงกำยำอีกครั้ง
แขนทั้งสองข้างสอดเข้ามาตวัดรัดเอวบางอย่างแนบแน่น ก่อนไดร์วูล์ฟจะนอนหงายแล้วพลิกร่างผมให้ขึ้นไปนอนเกยบนอกเขา
“ขอโทษ...”
ยามสดับฟังถ้อยคำนั้น
คล้ายทำนบน้ำตาถูกพังทลาย ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อข่มกลั้นเสียงสะอื้น
ก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำตาหลั่งรินอย่างเงียบเชียบ
“คุณจะข่มขืนเรา...”
“ไม่ทำแล้ว...”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธการปลอบประโลม
ตั้งท่าจะขืนตัวหนี
ทว่าไดร์วูล์ฟกลับกอดกระชับร่างกันอย่างแนบแน่นเสียจนผมไม่อาจดิ้นหลุดได้โดยง่าย
“คุณรักเราบ้างไหมครับ”
การกระทำในวันนี้ของเขาทำเอาผมเริ่มสงสัยขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะถามออกไปเสียงเครือ
ไดร์วูล์ฟนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
ดวงตาคมดุหลุบลงมองใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของผมเนิ่นนาน
“กูไม่เคยปลอบใคร...”
ผมควรดีใจใช่ไหม
ที่คนตรงหน้าคล้ายจะบอกว่าผมเป็นคนแรกที่เขาลดตัวลงมาปลอบโยน หรือจะเสียใจที่ไม่ได้ยินคำว่ารักจากอีกฝ่ายดี
“แต่คุณทำร้ายเราไปแล้ว”
“จะไม่ทำอีก...นอนซะ”
คล้ายคำสัญญานั้นจะปลดเปลื้องพันธนาการที่หนักอึ้งในอกบางส่วน
เรื่องในวันนี้ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะผมหัวร้อน และเขาเองก็ไม่ยอมความ พูดจายั่วยุโทสะกันไปมาจนเรื่องราวบานปลาย
แม้จะยังคับข้องใจกับเรื่องกลิ่นน้ำหอม
ทว่าผมกลับรู้สึกเพลียเกินกว่าจะลืมตาเอ่ยถามไหว
สุดท้ายก็จมสู่ห้วงนิทรารมย์ในที่สุด
